Wix vs WordPress เลือกใช้อันไหนดี ปี 2025 เปรียบเทียบตรงไปตรงมา

การเลือกระหว่าง Wix และ WordPress สำหรับสร้างเว็บไซต์ในปี 2025 ยังคงเป็นคำถามยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการมีหน้าเว็บเป็นของตัวเอง ซึ่งทั้งสองแพลตฟอร์มต่างมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การตัดสินใจว่าจะเลือกใช้อันไหนดี จึงขึ้นอยู่กับความต้องการ ทักษะ และเป้าหมายของแต่ละบุคคล 

บทความนี้เลยขออาสาพาไปเปรียบเทียบระหว่าง Wix และ WordPress ในแบบตรงไปตรงมา เพื่อช่วยให้คุณเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุดกัน

Wix คืออะไร? ดีไหม

Wix คือ แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป (Website Builder) ที่เน้นความง่ายในการใช้งาน ด้วยระบบ Drag-and-Drop ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างและปรับแต่งเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด Wix มีเทมเพลตให้เลือกหลากหลาย ครอบคลุมธุรกิจและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน พร้อมด้วยเครื่องมือและฟีเจอร์พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการสร้างเว็บไซต์

ข้อดีของ Wix

  • มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายแบบ Drag-and-Drop ทำให้ผู้เริ่มต้นใช้ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ที่ดูดีได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด
  • มีเทมเพลตให้เลือกมากมาย ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและสไตล์ ทำให้ง่ายต่อการเริ่มต้นออกแบบเว็บไซต์
  • ไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์หรือจัดการเรื่องโฮสติ้ง เพราะ Wix ดูแลทุกอย่างให้คุณแล้ว ทำให้การเริ่มต้นในการทำเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  • มี Wix App Market ให้บริการ ซึ่งมีแอปพลิเคชันเสริมมากมายให้เลือกติดตั้ง เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงานให้กับเว็บไซต์ เช่น ระบบร้านค้าออนไลน์ แบบฟอร์มติดต่อ หรือเครื่องมือทางการตลาด

Wix เหมาะกับใครบ้าง

Wix เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก โดยจะเหมาะกับทั้ง

  • ผู้เริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ด้วยตนเอง ด้วยอินเทอร์เฟซแบบ Drag-and-Drop ที่ใช้งานง่าย 
  • เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างเว็บไซต์เพื่อโปรโมทธุรกิจ แสดงสินค้าหรือบริการ หรือติดต่อกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
  • ผู้ที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการสร้างเว็บไซต์
  • ผู้ที่เน้นการออกแบบเว็บไซต์ด้วยเทมเพลตที่สวยงามและเครื่องมือปรับแต่งที่ใช้งานง่าย 
  • ผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่ไม่ซับซ้อนมาก หากคุณต้องการเว็บไซต์ส่วนตัว พอร์ตโฟลิโอออนไลน์ หรือบล็อกที่ไม่ต้องการฟังก์ชันขั้นสูงมากนัก Wix ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมาก ๆ

ขั้นตอนการเริ่มใช้ Wix

  1. สมัครบัญชี Wix โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ Wix.com และสร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ โดยสามารถสมัครผ่านอีเมล Google หรือ Facebook ได้
  2. เลือกเทมเพลตที่ตรงกับประเภทธุรกิจหรือวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ของคุณ 
  3. ปรับแต่งเว็บไซต์โดยใช้เครื่องมือ Drag-and-Drop เพื่อปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ ปุ่ม และอื่น ๆ
  4. เพิ่มฟีเจอร์ ได้ด้วยการเลือกติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมจาก Wix App Market เพื่อเพิ่มฟังก์ชันพิเศษให้กับเว็บไซต์ เช่น ร้านค้าออนไลน์ แบบฟอร์มติดต่อ หรือเครื่องมือ SEO
  5. เลือกชื่อโดเมนสำหรับเว็บไซต์ของคุณ และเลือกแผนบริการที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ
  6. เมื่อปรับแต่งเว็บไซต์จนพอใจแล้ว ให้คลิกปุ่ม “เผยแพร่” เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์และเข้าถึงได้

ข้อเสียของ Wix  

ข้อเสียหลักประการหนึ่งของ Wix คือ ข้อจำกัดในการปรับแต่งในระดับสูงและการย้ายเว็บไซต์ เมื่อเลือกเทมเพลตแล้ว การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักของเทมเพลตนั้นทำได้ยาก และการย้ายเว็บไซต์ Wix ไปยังแพลตฟอร์มอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากระบบของ Wix เป็นแบบปิด 

นอกจากนี้ก็อาจมีค่าใช้จ่ายในระยะยาวที่สูงกว่า โดยเฉพาะเมื่อต้องการฟีเจอร์ขั้นสูงหรือแอปพลิเคชันเสริมต่าง ๆ รวมถึง ข้อจำกัดด้าน SEO ในอดีต ซึ่งแม้ว่าจะมีการพัฒนาขึ้นมาก แต่ผู้ใช้งานบางรายยังคงรู้สึกว่า WordPress มีความยืดหยุ่นและมีเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลังกว่า 

และหากคุณต้องการทำเว็บไซต์ที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น Wix อาจไม่สามารถรองรับความต้องการได้อย่างเต็มที่เท่ากับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่า

WordPress คืออะไร? ดีไหม?

WordPress คือ ระบบจัดการเนื้อหา (Content Management System – CMS) แบบโอเพนซอร์ส (Open-Source) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เดิมทีถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างบล็อก แต่ปัจจุบันสามารถใช้สร้างเว็บไซต์ได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เว็บไซต์ส่วนตัว ธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงเว็บไซต์ขนาดใหญ่และซับซ้อน ซึ่งใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งและขยายขีดความสามารถได้ด้วยธีมและปลั๊กอินจำนวนมาก

ข้อดีของ WordPress 

  • ความยืดหยุ่นและการปรับแต่งสูง เพราะ WordPress มีธีมและปลั๊กอินให้เลือกใช้งานมากมาย ทั้งฟรีและเสียเงิน ทำให้สามารถปรับแต่งรูปลักษณ์และฟังก์ชันของเว็บไซต์ได้อย่างไม่จำกัดเป็นโอเพนซอร์สและมีชุมชนขนาดใหญ่: การเป็นโอเพนซอร์สทำให้ WordPress มีนักพัฒนาและผู้ใช้งานจำนวนมากทั่วโลก พร้อมให้การสนับสนุนและสร้างสรรค์เครื่องมือใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
  • WordPress มีโครงสร้างที่เป็นมิตรต่อเครื่องมือค้นหา (Search Engine Optimization – SEO) และมีปลั๊กอิน SEO มากมายที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับได้ดีขึ้น
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทุกขนาด ไม่ว่าคุณจะต้องการสร้างบล็อกส่วนตัว เว็บไซต์ธุรกิจ ร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่ WordPress ก็สามารถรองรับได้
  • ในฐานะผู้ใช้งาน คุณมีสิทธิ์ควบคุมทุกส่วนของเว็บไซต์ ตั้งแต่การออกแบบ เนื้อหา ไปจนถึงการจัดการฐานข้อมูล (หากมีความรู้ด้านเทคนิค)

ใครเหมาะกับ WordPress

WordPress เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ และพร้อมที่จะเรียนรู้การใช้งานในระดับที่ลึกซึ้งกว่า Wix 

  • ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและการควบคุมสูงสุด ที่สามารถควบคุมทุกรายละเอียดของเว็บไซต์และสามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ
  • ธุรกิจที่ต้องการขยายเว็บไซต์และเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ ในอนาคต
  • ผู้ที่ให้ความสำคัญกับ SEO
  • ผู้ที่มีความรู้ด้านเทคนิคบ้าง หรือพร้อมที่จะเรียนรู้การใช้งานที่ซับซ้อนขึ้นกว่า Wix เพราะแม้ว่า WordPress จะใช้งานง่ายขึ้นมาก แต่ก็ยังต้องมีการเรียนรู้และทำความเข้าใจระบบในระดับหนึ่ง
  • ผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่ เว็บไซต์สมาชิก หรือเว็บไซต์ที่มีฟังก์ชันพิเศษ 

    ขั้นตอนการเริ่มใช้ WordPress

    การเริ่มต้นใช้งาน WordPress สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้

    1. เลือกผู้ให้บริการโฮสติ้ง (Hosting Provider) ที่รองรับ WordPress ซึ่งมีหลายตัวเลือกทั้งในและต่างประเทศ โดยควรพิจารณาจากราคา, ความเร็ว, ความเสถียร, และการบริการลูกค้า
    2. จดทะเบียนโดเมนเนม (Domain Name) เว็บไซต์ของคุณ โดยจดทะเบียนกับผู้ให้บริการจดโดเมน
    3. ติดตั้ง WordPress โดยทั่วไปผู้ให้บริการโฮสติ้งจะมีเครื่องมือติดตั้ง WordPress อัตโนมัติ (เช่น Softaculous) ซึ่งจะช่วยให้การติดตั้งง่ายและรวดเร็ว หรือคุณสามารถดาวน์โหลดไฟล์ WordPress จาก wordpress.org และติดตั้งด้วยตนเองผ่าน FTP
    4. เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว คุณจะสามารถเข้าสู่ระบบจัดการเว็บไซต์ได้โดยพิมพ์ yourwebsite.com/wp-admin ในเบราว์เซอร์ และใช้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่คุณตั้งไว้ตอนติดตั้ง
    5. ทำความคุ้นเคยกับ Dashboard เพราะส่วนนี้จะเป็นศูนย์กลางการจัดการเว็บไซต์ของคุณ ช่วยให้คุณสามารถจัดการโพสต์, เพจ, สื่อ, รูปแบบ, ปลั๊กอิน, ผู้ใช้ และการตั้งค่าต่าง ๆ ได้จากที่นี่
    6. เลือกธีม (Theme) ของเว็บไซต์ได้ตามต้องการ ซึ่ง WordPress จะมีทั้งธีมฟรีและเสียเงินให้เลือกสรร
    7. ติดตั้งปลั๊กอิน (Plugin) ที่ช่วยเพิ่มฟังก์ชันการทำงานให้กับเว็บไซต์ของคุณ อาทิเช่น ปลั๊กอินสำหรับ SEO, การติดต่อ, อีคอมเมิร์ซ, ความปลอดภัย และอื่น ๆ อีกมากมาย
    8. เริ่มสร้างโพสต์สำหรับบล็อกหรือข่าวสาร และสร้างเพจสำหรับข้อมูลต่าง ๆ เช่น เกี่ยวกับเรา, ติดต่อเรา, บริการต่าง ๆ
    9. ปรับแต่งรูปลักษณ์และการทำงานของเว็บไซต์ผ่านตัวเลือกในธีมและปลั๊กอินต่างๆ
    10. เรียนรู้และพัฒนาต่อไป เพราะ WordPress เป็นแพลตฟอร์มที่มีการพัฒนาอยู่เสมอ จึงควรศึกษาแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น บล็อก และวิดีโอสอน เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะของคุณอยู่เสมอ

    ข้อเสียของ WordPress  

    ข้อเสียของ WordPress ที่ควรทราบคือ ความซับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเว็บไซต์มีขนาดใหญ่และมีการใช้งานปลั๊กอินจำนวนมาก อีกทั้งการติดตั้งปลั๊กอินหลายตัวจากผู้พัฒนาที่แตกต่างกันอาจนำไปสู่ปัญหาความเข้ากันไม่ได้ ทำให้เว็บไซต์ทำงานผิดพลาดหรือเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ การปรับแต่ง WordPress ในระดับสูงหรือการแก้ไขโค้ดโดยตรงจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านเทคนิคพอสมควร หากไม่มีความรู้เพียงพอ อาจทำให้เว็บไซต์เสียหายได้ 

    อีกประการหนึ่งคือ ภาระในการดูแลรักษาเว็บไซต์ โดยผู้ใช้งานจะมีหน้าที่ต้องคอยอัปเดต WordPress, ธีม, และปลั๊กอินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเว็บไซต์มีความปลอดภัยและทำงานได้อย่างราบรื่น ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและความใส่ใจพอสมควร สุดท้ายคือ ปัญหาด้านประสิทธิภาพและความเร็ว เนื่องจากเว็บไซต์ WordPress ที่มีการใช้งานปลั๊กอินเยอะ หรือมีการปรับแต่งที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้เว็บไซต์โหลดช้าลงได้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้งานและอันดับบนเครื่องมือค้นหานั่นเอง

    เปรียบเทียบ  Wix กับ WordPress ต่างกันอย่างไรบ้าง? ในแง่มุมต่าง ๆ 

    1. การปรับแต่งของหน้าเว็บไซต์

    • Wix นำเสนอระบบการแก้ไขแบบ “ลากและวาง” (Drag-and-Drop) ที่ใช้งานง่ายและเป็นภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด มีเทมเพลตสำเร็จรูปให้เลือกมากมาย และสามารถปรับแต่งสี, ตัวอักษร, รูปภาพ และองค์ประกอบอื่น ๆ ได้ง่าย อย่างไรก็ตามการปรับแต่งในเชิงลึกอาจมีข้อจำกัด เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงโค้ดเบื้องหลังของเว็บไซต์ได้โดยตรง
    • WordPress มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งที่สูงกว่ามาก ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปลักษณ์และการทำงานของเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด ผ่านระบบจัดการธีมและปลั๊กอิน นอกจากนี้ผู้ที่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ด (HTML, CSS, PHP, JavaScript) ก็สามารถแก้ไขโค้ดเบื้องหลังของธีมและปลั๊กอิน หรือพัฒนาธีมและปลั๊กอินเองได้ ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ที่มีเอกลักษณ์และตรงตามความต้องการเฉพาะเจาะจงได้มากกว่า

    2. การสร้างเว็บไซต์

    • Wix มีกระบวนการสร้างเว็บไซต์ที่ค่อนข้างง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการติดตั้งและตั้งค่า ผู้ใช้สามารถเลือกเทมเพลตและเริ่มปรับแต่งเนื้อหาได้ทันที โดย Wix จะให้การดูแลเรื่องโฮสติ้งและความปลอดภัยของเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับรายละเอียดทางเทคนิคมากนัก
    • WordPress ต้องการขั้นตอนการติดตั้งและตั้งค่าที่ซับซ้อนกว่า Wix ผู้ใช้จะต้องเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งและติดตั้งซอฟต์แวร์ WordPress เอง อย่างไรก็ตาม WordPress ก็มีความยืดหยุ่นสูงในการสร้างเว็บไซต์หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่บล็อกส่วนตัว ไปจนถึงเว็บไซต์ธุรกิจขนาดใหญ่ และร้านค้าออนไลน์ที่มีความซับซ้อน

    3. การใช้งานธีม (Theme)

    • Wix มีคลังธีมสำเร็จรูปให้เลือกใช้งาน ซึ่งมีความหลากหลายและออกแบบมาอย่างสวยงาม ผู้ใช้สามารถปรับแต่งธีมเหล่านี้ได้ในระดับหนึ่งผ่านเครื่องมือแก้ไขแบบลากและวาง แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักของธีมอาจมีข้อจำกัด และเมื่อเลือกธีมแล้ว การเปลี่ยนแปลงไปใช้ธีมอื่นในภายหลังอาจทำได้ยากและส่งผลกระทบต่อเนื้อหา
    • WordPress มีคลังธีมที่ใหญ่และหลากหลายกว่า Wix มาก ทั้งธีมฟรีและธีมเสียเงินจากนักพัฒนาทั่วโลก ผู้ใช้สามารถติดตั้งและเปลี่ยนธีมได้อย่างง่ายดาย โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก นอกจากนี้ WordPress ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้สามารถพัฒนาธีมเองได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการออกแบบเว็บไซต์สูง

    4. การใช้งานปลั๊กอิน (Plug-in)

    • Wix มี App Market ซึ่งรวบรวมแอปพลิเคชัน (เทียบเท่าปลั๊กอิน) ที่พัฒนาโดย Wix เองและนักพัฒนาภายนอก แอปเหล่านี้ช่วยเพิ่มฟังก์ชันการทำงานให้กับเว็บไซต์ เช่น ระบบร้านค้าออนไลน์, แบบฟอร์มติดต่อ และเครื่องมือ SEO เป็นต้น อย่างไรก็ตามจำนวนและขีดความสามารถของแอปใน Wix App Market อาจมีจำกัดเมื่อเทียบกับ WordPress
    • WordPress มีระบบปลั๊กอินที่แข็งแกร่งและมีจำนวนมหาศาล ทั้งปลั๊กอินฟรีและเสียเงิน ปลั๊กอินเหล่านี้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับเว็บไซต์ WordPress ได้แทบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น SEO, ระบบจัดการสมาชิก, ระบบอีคอมเมิร์ซขั้นสูง, ระบบสำรองข้อมูล, และอื่นๆ  อีกมากมาย ความหลากหลายของปลั๊กอินเหล่านี้จึงทำให้ WordPress กลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะเจาะจงได้เป็นอย่างมาก

    5. Wix vs WordPress การใช้งานสำหรับเขียนบล็อก (Blog)

    • Wix มีฟังก์ชันสำหรับสร้างบล็อกที่ใช้งานง่าย สามารถสร้างและจัดการโพสต์, ใส่รูปภาพและวิดีโอ, จัดหมวดหมู่และแท็กได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นสร้างบล็อกอย่างรวดเร็วและเน้นการออกแบบที่สวยงาม อย่างไรก็ตามฟังก์ชันการทำงานขั้นสูงสำหรับบล็อก เช่น การปรับแต่ง URL อย่างละเอียด หรือการจัดการ SEO ในเชิงลึก อาจมีข้อจำกัด
    • WordPress ถือเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการทำบล็อก มีระบบจัดการโพสต์ที่ทรงพลัง สามารถจัดหมวดหมู่, แท็ก, กำหนดเวลาโพสต์, และจัดการความคิดเห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ WordPress ยังมีปลั๊กอินมากมายที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำบล็อก เช่น ปลั๊กอิน SEO, ปลั๊กอินสำหรับโซเชียลมีเดีย, และปลั๊กอินสำหรับจัดการสมาชิก ทำให้ WordPress เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับบล็อกเกอร์ทุกระดับ

    6. การรองรับ SEO

    • ในอดีต Wix มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการรองรับ SEO แต่ปัจจุบัน Wix ได้พัฒนาเครื่องมือ SEO ที่ดีขึ้นมาก มีฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การปรับแต่ง Meta Title และ Description, การสร้าง Sitemap, การจัดการ URL ที่เป็นมิตรต่อ SEO และการรองรับ Mobile-Friendly อย่างไรก็ตาม การปรับแต่ง SEO ในเชิงลึกอาจยังมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ WordPress
    • WordPress ได้รับการยอมรับว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นมิตรต่อ SEO อย่างมาก มีโครงสร้างที่เอื้อต่อการค้นหาของเครื่องมือค้นหา และมีปลั๊กอิน SEO ที่ทรงพลังมากมาย เช่น Yoast SEO และ Rank Math ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งทุกรายละเอียดที่สำคัญต่อ SEO ได้อย่างละเอียด เช่น การจัดการ Meta Tags, Keyword Analysis, Schema Markup, XML Sitemaps และอื่น ๆ ทำให้ WordPress เป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับการทำ SEO ในระยะยาว

    7. การใช้งานในโทรศัพท์ Responsive Mobile

    • Wix มีเครื่องมือแก้ไขเว็บไซต์บนเดสก์ท็อปที่ใช้งานง่าย และเว็บไซต์ที่สร้างด้วย Wix มักจะปรับให้แสดงผลได้ดีบนโทรศัพท์มือถือ (Mobile-Friendly) โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถดูตัวอย่างการแสดงผลบนมือถือได้ขณะแก้ไขบนเดสก์ท็อป แต่ทั้งนี้การปรับแต่งเฉพาะสำหรับมุมมองบนมือถืออาจมีข้อจำกัดและสามารถทำได้เพียงเล็กน้อย
    • WordPress เองไม่ได้มีแอปพลิเคชันสำหรับแก้ไขเว็บไซต์บนมือถือโดยตรง แต่ธีมส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้รับการออกแบบให้รองรับการแสดงผลบนมือถือแบบ Responsive ซึ่งปรับขนาดและเลย์เอาต์ให้เหมาะสมกับหน้าจอต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถจัดการเนื้อหาและบางส่วนของเว็บไซต์ผ่านแอป WordPress บนมือถือได้ แต่การปรับแต่งดีไซน์โดยละเอียดมักจะต้องทำบนเดสก์ท็อป

    8. ราคาค่าใช้จ่าย

    • Wix เสนอแผนบริการที่หลากหลาย รวมถึงแผนฟรีที่มีข้อจำกัด (เช่น มีแบรนด์ Wix ปรากฏบนเว็บไซต์ และใช้โดเมนย่อยของ Wix) สำหรับการใช้งานเว็บไซต์ธุรกิจและอีคอมเมิร์ซ จำเป็นต้องเลือกแผนแบบมีค่าใช้จ่าย ซึ่งมีราคาแตกต่างกันไปตามฟีเจอร์และทรัพยากรที่ได้รับ รวมถึงค่าใช้จ่ายรวมถึงโฮสติ้ง, การรักษาความปลอดภัย และการอัปเดตแพลตฟอร์ม
    • WordPress เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ใช้งานได้ฟรี แต่ผู้ใช้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับโฮสติ้ง, โดเมนเนม และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับธีมและปลั๊กอินแบบพรีเมียม ค่าใช้จ่ายโดยรวมอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการโฮสติ้งและปลั๊กอิน/ธีมที่เลือก โดยทั่วไปแล้ว WordPress อาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ต่ำกว่า แต่ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นได้เมื่อต้องการฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น

    9. ความปลอดภัย Wix vs WordPress

    • Wix ให้การดูแลเรื่องความปลอดภัยของแพลตฟอร์มโดยรวม รวมถึงการป้องกัน DDoS และการอัปเดตความปลอดภัย ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัยในระดับเซิร์ฟเวอร์โดยตรง อย่างไรก็ตามความปลอดภัยของเว็บไซต์ Wix ยังคงขึ้นอยู่กับการใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
    • ความปลอดภัยของเว็บไซต์ WordPress ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของผู้ใช้เป็นหลัก ผู้ใช้ต้องคอยอัปเดต WordPress, ธีม และปลั๊กอินอย่างสม่ำเสมอ และเนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยม จึงเป็นเป้าหมายของการโจมตีมากกว่า หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูงกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ

    10. การใช้ Support เมื่อเกิดปัญหาในการใช้งาน

    • Wix มีทีมสนับสนุนลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น อีเมล, โทรศัพท์ และมีเอกสารช่วยเหลือ (Help Center) ที่ครอบคลุม ผู้ใช้สามารถติดต่อทีมสนับสนุนของ Wix ได้โดยตรงเมื่อมีปัญหาในการใช้งานแพลตฟอร์มหรือฟีเจอร์ต่าง ๆ
    • เนื่องจาก WordPress เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส จึงไม่มีทีมสนับสนุนอย่างเป็นทางการจาก WordPress.org โดยตรง การสนับสนุนส่วนใหญ่จะมาจากชุมชนผู้ใช้ WordPress ทั่วโลก ผ่านฟอรัม, บล็อก, และเอกสารออนไลน์ต่าง ๆ นอกจากนี้ผู้ใช้ที่ซื้อธีมหรือปลั๊กอินแบบพรีเมียม มักจะได้รับการสนับสนุนจากผู้พัฒนาเหล่านั้น แต่หากมีปัญหาทางเทคนิคที่ซับซ้อน อาจต้องจ้างนักพัฒนา WordPress ภายนอก

    11. การใช้งานเพื่อเว็บไซต์ Ecommerce

    • Wix มีฟีเจอร์และแอปพลิเคชันที่รองรับการสร้างร้านค้าออนไลน์ เช่น Wix Stores ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการสินค้าคงคลัง, การชำระเงิน, การจัดส่ง และการโปรโมทสินค้าได้ง่าย เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการเริ่มต้นร้านค้าออนไลน์อย่างรวดเร็วและไม่ซับซ้อน Wix จะช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของระบบการชำระเงินและการจัดการคำสั่งซื้อให้คุณได้ในระดับหนึ่ง
    • WordPress ร่วมกับปลั๊กอิน WooCommerce เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการสร้างร้านค้าออนไลน์ ที่มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับแต่งฟังก์ชันการทำงานของร้านค้า, รองรับระบบการชำระเงินที่หลากหลาย, การจัดการสินค้าคงคลังขั้นสูง, และการเชื่อมต่อกับเครื่องมือทางการตลาดต่าง ๆ เหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการควบคุมร้านค้าออนไลน์อย่างเต็มที่และมีแผนที่จะขยายธุรกิจในอนาคต อย่างไรก็ตามผู้ใช้จะต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยและการอัปเดตปลั๊กอิน WooCommerce เอง

    สรุป Wix vs WordPress ในปี 2025

    ในปี 2025 Wix ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์อย่างรวดเร็วด้วยระบบลากและวางที่ใช้งานง่าย โดยมีผู้ใช้งานหลายล้านรายทั่วโลกที่ชื่นชอบความสะดวกสบายและเทมเพลตที่สวยงาม ในขณะที่ WordPress ยังคงครองตลาดด้วยจำนวนผู้ใช้งานหลายสิบล้านราย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับแต่งที่สูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมเว็บไซต์อย่างเต็มที่และมีแผนที่จะพัฒนาเว็บไซต์ในระยะยาว

    อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเลือกระหว่าง Wix และ WordPress ขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายเฉพาะของผู้ใช้งาน หากคุณต้องการเว็บไซต์ที่สร้างง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการทางเทคนิคมากนัก Wix อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากคุณต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่งที่ไร้ขีดจำกัด ฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อน และความเป็นเจ้าของเว็บไซต์อย่างแท้จริง WordPress ก็ถือว่ายังคงเป็นแพลตฟอร์มที่เหนือกว่านั่นเอง