SEO WordPress กระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ที่สร้างด้วยแพลตฟอร์ม WordPress เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในการปรากฏบนผลการค้นหาของ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ การทำ SEO ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบโดยผู้ที่กำลังมองหาสินค้า บริการ หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้น
หากคุณกำลังใช้ WordPress และต้องการให้เว็บไซต์ของคุณเติบโต มีผู้เข้าชมมากขึ้น และสร้างโอกาสทางธุรกิจ การทำ SEO ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม มาเรียนรู้วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ WordPress ของคุณติดอันดับบน Google ไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความนี้เลย
รู้จัก! WordPress คืออะไร?
WordPress คือ ระบบจัดการเนื้อหา (Content Management System – CMS) แบบโอเพนซอร์ส ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ด้วยความยืดหยุ่น ใช้งานง่าย และมีเครื่องมือมากมาย ทำให้ WordPress เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับการสร้างเว็บไซต์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบล็อก เว็บไซต์ธุรกิจ ร้านค้าออนไลน์ หรืออื่น ๆ WordPress จะช่วยให้คุณจัดการเนื้อหา ออกแบบหน้าตาเว็บ และเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดมากนัก
ทำไม WordPress ถึงเหมาะกับ SEO
WordPress ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงหลักการ SEO ตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นมิตรต่อเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
- โครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตร มีโครงสร้าง URL ที่สะอาดและเป็นระเบียบ ทำให้ Googlebot สามารถเข้ามาเก็บข้อมูลและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
- คุณสามารถตั้งค่า Meta Title และ Meta Description สำหรับแต่ละหน้าและโพสต์ได้อย่างสะดวก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการแสดงผลบนหน้าผลการค้นหา
- การสร้าง Sitemap XML อัตโนมัติ มักผ่านปลั๊กอิน ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และค้นหาเนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- มีการจัดการเนื้อหาที่ยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้หัวข้อ (H1-H6) และการใส่ Alt Text ให้กับรูปภาพได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำ SEO
- มี Community และปลั๊กอิน SEO ที่แข็งแกร่ง ช่วยให้คุณปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์เนื้อหา การจัดการ Redirects และอื่น ๆ
อยากทำ SEO ด้วยWordPressเป็น ต้องเริ่มอย่างไร?
การเริ่มต้นทำ SEO ด้วย WordPress ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ซึ่งมีขั้นตอนเบื้องต้นที่คุณสามารถทำตามได้ไม่ยาก ดังนี้
- เลือก Domain Name และ Hosting ที่ดี ชื่อโดเมนควรเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ และเลือกผู้ให้บริการ Hosting ที่มีความเสถียรและมีความเร็วในการโหลด
- ติดตั้งและตั้งค่า WordPress SEO Plugin เช่น Yoast SEO หรือ Rank Math จะช่วยให้คุณจัดการองค์ประกอบ SEO ที่สำคัญต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดาย
- ปรับโครงสร้าง URL ให้เป็นมิตรกับ SEO ด้วยการตั้งค่า Permalinks ใน WordPress ให้เป็นแบบ “Post name” เพื่อให้ URL ของแต่ละหน้ามีความชัดเจนและมี Keyword ที่เกี่ยวข้อง
- วิเคราะห์ Keyword ทำความเข้าใจว่าผู้คนค้นหาอะไรบน Google ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ โดยใช้เครื่องมือ Keyword Research เพื่อค้นหาคำที่มีปริมาณการค้นหาสูงและมีความเกี่ยวข้องมาใช้
- สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง และตอบคำถามของผู้ใช้งานได้ดี จะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมและทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้น
- ปรับแต่ง Meta Title และ Meta Description ที่น่าสนใจและมี Keyword หลัก เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
- ปรับปรุง On-Page SEO ดูแลองค์ประกอบต่างๆ ภายในหน้าเว็บไซต์ เช่น การใช้ Heading Tags (H1-H6) อย่างเหมาะสม และใส่ Keyword ในเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ ร่วมกับการใส่ Alt Text ให้กับรูปภาพ เพื่อช่วยให้เว็บเพจนั้น ๆ ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้มากยิ่งขึ้น
- สร้าง Internal และ External Links เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ของคุณ (Internal Links) และเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ภายนอกที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง (External Links)
- ตรวจสอบ Mobile-Friendliness เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ตอบสนองบนมือถือได้ดี
- ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ เพราะเว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้และเป็นปัจจัยบวกต่อการทำ SEO
- สร้าง Sitemap และ Submit ให้ Google Search Console เพื่อให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณ
- วิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ Google Analytics และ Google Search Console เพื่อติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์และปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ของคุณอย่างสม่ำเสมอ
การทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ WordPress ไม่ใช่เพียงแค่การตั้งค่าเริ่มต้นแล้วจบลง แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมเครื่องมือค้นหา และรักษาอันดับที่ดีบน Google การลงทุนในคอร์สเรียน SEO ที่มีการอัปเดตเนื้อหาอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณได้รับความรู้และเทคนิคใหม่ ๆ ที่จำเป็นต่อการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมปัจจัยสำคัญของวิธีการทำ SEO WordPress
การทำ SEO (Search Engine Optimization) สำหรับเว็บไซต์ WordPress เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่ม visibility บนเครื่องมือค้นหาและดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพ การให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับได้ดีขึ้น
1. เลือก Hosting ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
การเลือกผู้ให้บริการ Hosting ที่มีคุณภาพสูงมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์ WordPress ของคุณ เพราะ Hosting ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว มีความเสถียร และมี Downtime น้อย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ให้ความสำคัญ หากเว็บไซต์ที่โหลดช้า ก็จะส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience – UX) ทำให้ Bounce Rate สูงขึ้น และส่งผลให้อันดับ SEO แย่ลง
วิธีการ
- เลือกผู้ให้บริการที่มีเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ จะช่วยลด Latency และทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
- พิจารณาประเภทของ Hosting ที่เหมาะสมกับขนาดและปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
- ตรวจสอบความเร็วและความเสถียรของผู้ให้บริการ
- เลือกผู้ให้บริการที่มีการสนับสนุนด้านเทคนิคที่ดี
2. เลือกใช้ Theme ที่ SEO Friendly
การเลือกใช้ Theme ที่ออกแบบมาโดยคำนึงถึงหลักการ SEO เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับเว็บไซต์ WordPress ของคุณ โดย SEO WordPress theme ที่ดีควรมีโครงสร้างโค้ดที่สะอาด, รองรับ Mobile-Friendly (แสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์), มีความเร็วในการโหลดที่ดี และมี Schema Markup ในตัว
วิธีการ
- เลือกใช้ Theme ที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสอบว่า Theme รองรับ Responsive Design ได้ดีทั้งบนเดสก์ท็อป แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ
- ตรวจสอบว่า Theme มีโครงสร้าง Heading Tags (H1, H2, H3…) ที่ถูกต้อง ซึ่งมีความสำคัญต่อการจัดระเบียบเนื้อหาสำหรับเครื่องมือค้นหา
- หลีกเลี่ยง Theme ที่มีฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นมากเกินไป เพราะอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง
3. อย่าใช้ Plugin WordPress เยอะมากเกินไป
แม้ว่า Plugin WordPress จะช่วยเพิ่มฟังก์ชันการทำงานให้กับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมาก แต่การติดตั้ง Plugin จำนวนมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพ SEO ได้ เพราะอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง เกิดข้อผิดพลาด และอาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
วิธีการ
- ติดตั้งเฉพาะ Plugin ที่จำเป็นต่อการทำงานของเว็บไซต์เท่านั้น
- ตรวจสอบความน่าเชื่อถือและคะแนนรีวิวของ Plugin ก่อนติดตั้ง
- ลบ Plugin ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
- หมั่นตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำ
4. ติดตั้ง Plugin ที่สามารถช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย
ความปลอดภัยของเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำ SEO เว็บไซต์ที่ถูกแฮ็กหรือมีมัลแวร์อาจถูก Google ลดอันดับลง การติดตั้ง Plugin รักษาความปลอดภัย จะช่วยปกป้องเว็บไซต์ของคุณจากภัยคุกคามต่าง ๆ ได้
วิธีการ
- ติดตั้ง Plugin รักษาความปลอดภัยที่มีชื่อเสียง เช่น Wordfence, Sucuri Security หรือ iThemes Security
- ตั้งค่า Plugin ให้สแกนหามัลแวร์และช่องโหว่อย่างสม่ำเสมอ
- เปิดใช้งาน Firewall ของ Plugin เพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก
- อัปเดต Plugin รักษาความปลอดภัยและ Plugin อื่นๆ รวมถึง WordPress Core อย่างสม่ำเสมอ
- ใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่งและมีการเปลี่ยนแปลงเป็นประจำ
5. ทำ HTTPS
HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) เป็นโปรโตคอลการสื่อสารที่ปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์ และเป็นปัจจัยด้าน SEO ที่ Google ให้ความสำคัญ การมีใบรับรอง SSL (Secure Sockets Layer) และใช้งาน HTTPS จะช่วยเข้ารหัสข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
วิธีการ
- ซื้อใบรับรอง SSL จากผู้ให้บริการ Hosting หรือ Let’s Encrypt (ฟรี)
- ติดตั้งใบรับรอง SSL บน Hosting ของคุณ
- ตั้งค่าเว็บไซต์ WordPress ให้ใช้ HTTPS
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่า URL ทั้งหมดในเว็บไซต์ของคุณเป็น HTTPS
- อัปเดต Google Analytics และ Google Search Console ให้ใช้ URL แบบ HTTPS
6. การตั้งค่า Site Title
การตั้งค่า Site Title (ชื่อเว็บไซต์) และ Tagline (คำอธิบายสั้น ๆ ของเว็บไซต์) ที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อ SEO โดย Site Title จะปรากฏในผลการค้นหาและเป็นส่วนสำคัญในการบอกให้เครื่องมือค้นหารู้ว่าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวกับอะไร?
วิธีการ
- ตั้งค่า Site Title ที่กระชับ ชัดเจน และสื่อถึงเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ โดยควรมีความยาวที่เหมาะสมประมาณ 50-60 ตัวอักษร
- ใส่ Keyword หลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณใน Site Title (หากเป็นไปได้)
- ตั้งค่า Tagline ที่อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณ
7. การตั้งค่า Search Engine Visibility
การตั้งค่า Search Engine Visibility ใน WordPress มีผลต่อการที่เครื่องมือค้นหาจะเข้ามาเก็บข้อมูลและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณหรือไม่? โดยปกติ WordPress จะถูกตั้งค่าให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงได้ แต่ในระหว่างการพัฒนาเว็บไซต์ คุณอาจตั้งค่าให้ปิดการมองเห็นจากเครื่องมือค้นหาชั่วคราว การตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวเลือกนี้ไม่ได้ถูกเลือกไว้เมื่อเว็บไซต์ของคุณพร้อมใช้งานจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
วิธีการ
- ไปที่ Settings > Reading ใน WordPress Dashboard
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่อง “Discourage search engines from indexing this site” ไม่ได้ถูกเลือก หากเลือกอยู่ ให้ยกเลิกการเลือกและบันทึกการเปลี่ยนแปลง
8. ติดตั้งปลั๊กอิน SEO
การติดตั้งปลั๊กอิน SEO เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับแต่งเว็บไซต์ WordPress ของคุณให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา ปลั๊กอินเหล่านี้มีเครื่องมือและฟังก์ชันมากมายที่ช่วยให้คุณจัดการองค์ประกอบ SEO ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
วิธีการ
- ไปที่ Plugins > Add New ใน WordPress Dashboard:
- ค้นหาปลั๊กอิน SEO ยอดนิยม เช่น Yoast SEO หรือ Rank Math SEO WordPress ซึ่งทั้งสองปลั๊กอินนี้มีฟีเจอร์ที่ครอบคลุมสำหรับการปรับแต่ง Title Tags, Meta Descriptions, XML Sitemaps, Schema Markup และอื่น ๆ
- ติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอินที่คุณเลือก เพื่อช่วยคุณปรับปรุง SEO ในแต่ละหน้าและโพสต์
9. เชื่อมต่อ Google Search Console
การเชื่อมต่อเว็บไซต์ของคุณกับ Google Search Console เป็นสิ่งจำเป็นในการตรวจสอบประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์และรับข้อมูลเชิงลึกจาก Google
วิธีการ
- ลงทะเบียนและยืนยันความเป็นเจ้าของเว็บไซต์ของคุณใน Google Search Console โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น อัปโหลดไฟล์ HTML หรือใช้ DNS Record
- เชื่อมต่อ Google Search Console กับปลั๊กอิน SEO ของคุณ (ถ้ามี)
- ตรวจสอบข้อมูลใน Google Search Console เป็นประจำ เพื่อดูแนวโน้มและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
10. ติดตั้ง Sitemap และ robots.txt
Sitemap XML เป็นไฟล์ที่แสดงรายการหน้าทั้งหมดบนเว็บไซต์ของคุณให้กับเครื่องมือค้นหา ทำให้การ Crawl และ Indexing เป็นไปได้ง่ายขึ้น โดย robots.txt เป็นไฟล์ที่แนะนำเครื่องมือค้นหาว่าควรเข้าถึงและ Crawl ส่วนใดของเว็บไซต์บ้าง
วิธีการ
- สร้าง Sitemap XML สำหรับปลั๊กอิน SEO ส่วนใหญ่ เช่น Yoast SEO และ Rank Math จะมีฟังก์ชันสร้าง Sitemap อัตโนมัติมาให้แล้ว
- ส่ง Sitemap ไปยัง Google Search Console เพื่อให้ Google ทราบโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณ
- สร้างหรือแก้ไขไฟล์ robots.txt ด้วย Text Editor และอัปโหลดไปยัง Root Directory ของเว็บไซต์ หรือใช้ฟังก์ชันในปลั๊กอิน SEO บางตัวเพื่อจัดการไฟล์นี้ ทั้งนี้ควรระมัดระวังในการแก้ไขไฟล์ robots.txt เพราะอาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถเข้าถึงบางส่วนของเว็บไซต์ได้
11. ปรับ On Page SEO
On Page SEO WordPress คือ การปรับแต่งเนื้อหาและองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้สอดคล้องกับ Keyword เป้าหมายและเป็นมิตรต่อเครื่องมือค้นหา การปรับ On Page SEO ที่ดีจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้นและจัดอันดับได้อย่างเหมาะสม
วิธีการ
- ใช้ Keyword หลักของคุณใน Title Tag และ Meta Description
- ใช้ Keyword ใน Heading Tags (H1-H6) โดยเฉพาะ H1 ควรมี Keyword หลัก
- กระจาย Keyword อย่างเป็นธรรมชาติในเนื้อหา ไม่ควรยัดเยียด Keyword มากเกินไป
- ปรับปรุงคุณภาพเนื้อหาให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ เพราะเนื้อหาที่ดีคือรากฐานของ SEO
- ใช้รูปภาพและวิดีโอที่เกี่ยวข้องและใส่ Alt Text ที่มี Keyword อธิบายรูปภาพ
12. เลือกใช้หนึ่ง Keyword ในแต่ละหน้า
การโฟกัสที่ Keyword หลักเพียงคำเดียวต่อหน้าจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจหัวข้อหลักของหน้านั้น ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แทนที่จะพยายามใส่ Keyword หลายคำในหน้าเดียว
วิธีการ
- ทำการค้นหา Keyword ที่ผู้คนใช้ในการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
- เลือก Keyword หลักสำหรับแต่ละหน้า โดยพิจารณาจากความเกี่ยวข้องและปริมาณการค้นหา
- ใช้ Keyword หลักนั้นอย่างเป็นธรรมชาติในองค์ประกอบ On Page SEO ต่าง ๆ เช่น Title Tag, Meta Description, Heading Tags และเนื้อหา
13. ตั้ง Permalink หรือ Slug ให้อ่านง่ายและสอดคล้องกับ Keyword
Permalink (URL ถาวร) หรือ Slug (ส่วนสุดท้ายของ URL) ที่อ่านง่ายและมี Keyword จะช่วยให้ทั้งผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของหน้านั้น ๆ ได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยง URL ที่เป็นตัวเลขหรือตัวอักษรที่ไม่สื่อความหมาย
วิธีการ
- ไปที่ Settings > Permalinks ใน WordPress Dashboard
- เลือกโครงสร้าง Permalink ที่เป็นมิตรต่อ SEO รูปแบบ “Post name” มักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
- เมื่อสร้างหน้าหรือโพสต์ใหม่ ให้แก้ไข Slug ให้สั้น กระชับ และมี Keyword หลัก เช่น แทนที่จะเป็น yourwebsite.com/?p=123 ให้ใช้ yourwebsite.com/ชื่อสินค้าของคุณ แทน
14. ใส่ Internal Link เชื่อมโยงกันในเว็บไซต์
Internal Link คือ ลิงก์ที่เชื่อมโยงจากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งภายในเว็บไซต์เดียวกัน การใส่ Internal Link ที่เหมาะสมช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถ Crawl และ Index หน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยกระจาย Link Juice ไปยังหน้าที่มีความสำคัญ
วิธีการ
- ใส่ลิงก์จากคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องในเนื้อหาไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ
- ใช้ Anchor Text (ข้อความที่ใช้ในการลิงก์) ที่สื่อถึงเนื้อหาของหน้าปลายทาง
15. ตั้ง Alt Text รูปภาพ
Alt Text (ข้อความทางเลือก) คือคำอธิบายรูปภาพที่ปรากฏเมื่อรูปภาพไม่สามารถโหลดได้ และมีความสำคัญต่อ SEO โดย Alt Text จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่ารูปภาพนั้นเกี่ยวกับอะไร และยังช่วยให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเข้าถึงเนื้อหาของรูปภาพได้
วิธีการ
- เมื่ออัปโหลดรูปภาพไปยัง WordPress Media Library ให้ใส่คำอธิบายที่สื่อถึงเนื้อหาของรูปภาพในช่อง “Alt Text”
- ใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและรูปภาพ พร้อมเขียนคำอธิบายที่กระชับและชัดเจน
H3 16. ทำสารบัญ
การทำสารบัญ (Table of Contents) ในบทความหรือหน้าที่มีเนื้อหายาว จะช่วยให้ทั้งผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาสามารถนำทางและเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
วิธีการ
- ใช้ปลั๊กอิน WordPress สำหรับสร้างสารบัญอัตโนมัติ เช่น Table of Contents Plus หรือ Easy Table of Contents สามารถสแกน Heading Tags (H1-H6) ในเนื้อหาของคุณและสร้างสารบัญโดยอัตโนมัติ
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสารบัญเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ ของเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง
17. ดีไซน์เว็บไซต์ WordPress แบบ Mobile-First
การออกแบบเว็บไซต์ WordPress แบบ Mobile-First หมายถึง การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นอันดับแรก เนื่องจากผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ การมีเว็บไซต์ที่ตอบสนองและใช้งานง่ายบนมือถือจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้
วิธีการ
- เลือก Theme WordPress ที่รองรับ Responsive Design หรือออกแบบมาในแนวคิด Mobile-First
- ทดสอบการแสดงผลของเว็บไซต์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ
18. ลดขนาดไฟล์ภาพเพื่อโหลดไวขึ้น
ขนาดไฟล์ภาพที่ใหญ่เกินไปเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง ซึ่งส่งผลเสียต่อ SEO การลดขนาดไฟล์ภาพโดยไม่สูญเสียคุณภาพมากนักจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้น
วิธีการ
- ใช้เครื่องมือบีบอัดรูปภาพ เช่น ShortPixel, Smush, หรือ EWWW Image Optimizer
- เลือกรูปแบบไฟล์ภาพที่เหมาะสม อาทิ JPEG เหมาะสำหรับภาพถ่าย, PNG เหมาะสำหรับภาพที่มีพื้นหลังโปร่งใสและกราฟิกที่ไม่ซับซ้อน, WebP เป็นรูปแบบใหม่ที่ให้คุณภาพดีและขนาดไฟล์เล็ก
- ปรับขนาดรูปภาพให้เหมาะสมกับขนาดที่แสดงผลจริง
19. ทำ Link Building
Link Building คือ กระบวนการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกที่มีคุณภาพมายังเว็บไซต์ของคุณ เนื่องจสก Backlink จากเว็บไซต์ที่มี Authority สูงจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณในสายตาเครื่องมือค้นหา
วิธีการ
- สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นประโยชน์ เพื่อดึงดูดให้เว็บไซต์อื่นต้องการลิงก์มายังคุณ
- ติดต่อเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมของคุณ และเสนอเนื้อหาของคุณเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิง
- สร้าง Profile บน Social Media และเว็บไซต์อื่น ๆ และใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ
- พิจารณา Guest Blogging บนเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่และสร้าง Backlink
20. ทำ Noindex หน้าที่ไม่มีสำคัญ
การใช้ Noindex Tag จะบอกให้เครื่องมือค้นหาไม่ทำการ Index (จัดทำดัชนี) หน้าบางหน้าบนเว็บไซต์ของคุณที่คุณไม่ต้องการให้ปรากฏในผลการค้นหา ซึ่งอาจเป็นหน้า Thank You, หน้า Login, หรือหน้าที่มีเนื้อหาซ้ำ
วิธีการ
- ใช้ปลั๊กอิน SEO เช่น Yoast SEO และ Rank Math มีตัวเลือกให้ตั้งค่า Noindex สำหรับแต่ละหน้าหรือประเภทของหน้า
- แก้ไขไฟล์ robots.txt (ด้วยความระมัดระวัง) สามารถใช้ Disallow เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องมือค้นหาเข้าถึงบางหน้า
21. ทำ Canonical หน้าที่เนื้อหาซ้ำ
หากเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ซ้ำกันในหลาย URL การใช้ Canonical Tag จะช่วยบอกให้เครื่องมือค้นหารู้ว่า URL ใดคือเวอร์ชันหลักที่คุณต้องการให้ Index ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหา Duplicate Content ที่อาจส่งผลเสียต่อ SEO
วิธีการ
- ใช้ปลั๊กอิน SEO ที่มีฟังก์ชันในการตั้งค่า Canonical URL สำหรับแต่ละหน้าหรือโพสต์
- ระบุ URL หลักสำหรับเนื้อหาที่ซ้ำกัน และตั้งค่า Canonical Tag ในส่วน <head> ของ HTML ของหน้าอื่นๆ ที่มีเนื้อหาซ้ำกัน โดยชี้ไปยัง URL หลัก
22. ทำ Redirect 301 ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนหรือแก้ไข URL เดิม
เมื่อคุณเปลี่ยนหรือแก้ไข URL ของหน้าใด ๆ บนเว็บไซต์ของคุณ ควรทำ Redirect 301 (Permanent Redirect) เพื่อบอกให้เครื่องมือค้นหาและผู้เข้าชมทราบว่า URL เดิมได้ย้ายไปยัง URL ใหม่อย่างถาวร ซึ่งจะช่วยรักษา Link Juice และป้องกันไม่ให้ผู้เข้าชมเจอกับหน้า 404
วิธีการ
- ใช้ปลั๊กอิน WordPress สำหรับจัดการ Redirect จะช่วยให้คุณสร้าง Redirect 301 ได้ง่ายขึ่น
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Redirect ทำงานอย่างถูกต้อง และไม่มี Redirect Chain (การเปลี่ยนเส้นทางหลายครั้ง)
23. ทำ Cache ปรับความเร็วเว็บ
การทำ Cache คือ การสร้างสำเนาชั่วคราวของหน้าเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้สามารถโหลดซ้ำได้เร็วขึ้นเมื่อมีผู้เข้าชมเข้ามาอีกครั้ง
วิธีการ
- ติดตั้งปลั๊กอิน Cache เช่น WP Rocket (เสียเงิน), LiteSpeed Cache (ฟรีหากใช้ LiteSpeed Server), หรือ WP Super Cache (ฟรี)
- ทดสอบความเร็วเว็บไซต์ของคุณ โดย ใช้เครื่องมือเช่น Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix เพื่อดูผลลัพธ์และหาจุดที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติม
24. ปลั๊กอิน WordPress SEO ฟรี ก็เห็นผลได้
คุณไม่จำเป็นต้องใช้ปลั๊กอิน WordPress SEO แบบเสียเงินเสมอไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะมีปลั๊กอิน SEO ฟรีที่มีคุณภาพ เช่น Yoast SEO และ Rank Math ก็ล้วนมีฟีเจอร์ที่ครอบคลุมสำหรับการปรับแต่ง SEO พื้นฐานที่สำคัญ และสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นได้
วิธีการ
- เริ่มต้นด้วยปลั๊กอิน SEO ฟรีที่มีชื่อเสียง และให้ความสำคัญกับการปรับแต่งองค์ประกอบ SEO ที่สำคัญ เช่น Title Tag, Meta Description, Heading Tags, และการสร้าง Sitemap
- ติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพราะ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำเป็นระยะยาว
25. อัปเดตคอนเทนต์หรือบทความเป็นประจำ
การอัปเดตเนื้อหาหรือบทความบนเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำเป็นสัญญาณที่ดีต่อเครื่องมือค้นหาว่าเว็บไซต์ของคุณยังคงมีชีวิตชีวาและนำเสนอข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน เนื้อหาที่สดใหม่และมีคุณภาพยังช่วยดึงดูดผู้เข้าชมและเพิ่มโอกาสในการได้รับ Backlink
วิธีการ
- อัปเดตบทความเก่าให้มีความถูกต้องและทันสมัย เช่น เพิ่มข้อมูลใหม่, ปรับปรุงเนื้อหา, หรือเพิ่มรูปภาพและวิดีโอ
- สร้างเนื้อหาใหม่ที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
- โปรโมทเนื้อหาใหม่ของคุณผ่านช่องทางต่าง ๆ
สรุป
SEO WordPress คือ กระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ทั้งในด้านโครงสร้างทางเทคนิค เนื้อหา และการสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อให้เว็บไซต์เป็นมิตรต่อเครื่องมือค้นหาอย่าง Google และได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา
วิธีการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากการเลือก Hosting ที่ดี, ใช้ Theme ที่ SEO Friendly, ติดตั้งปลั๊กอิน SEO, ปรับ On-Page SEO ให้เหมาะสมกับ Keyword, สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ, และสร้าง Backlink อย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้การทำ SEO สำหรับ WordPress ไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจหลักการพื้นฐาน และลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ การปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณทีละขั้นตอนตามแนวทางที่กล่าวมา จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่งที่ดีขึ้นบน Google และดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจหรือเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ได้นั่นเอง